๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : การบริหารงานแบบบูรณาการ

ที่มาการต่อยอดโครงการ :

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ทรงใช้หลักการของการพัฒนาที่ต้องเป็นไปตามขั้นตอน คำนึงถึงสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และสังคมวิทยาของแต่ละท้องถิ่นทีมีความแตกต่างกันด้วยเสมอ ดังพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ความตอนหนึ่งว่า

“...การพัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศทางภูมิศาสตร์ และภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ในสังคมวิทยา ภูมิประเทศตามสังคมวิทยา คือนิสัยใจคอของคนเรา จะไปบังคับให้คนคิดอย่างอื่นไม่ได้ เราต้องแนะนำ เราเข้าไปช่วยโดยที่จะคิดให้เขาเข้ากับเราไม่ได้ แต่ถ้าเราเข้าไปแล้ว เราเข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไรจริงๆแล้วก็อธิบายให้เขาเข้าใจหลักการของการพัฒนานี้ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง ...”

ด้วยหลักการดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระราชดำริให้จัดตั้ง “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ขึ้นตามภูมิภาคต่างๆ จำนวน ๖ ศูนย์ โดยมีแนวทางและวัตถุประสงค์ตามพระราชดำริ ดังนี้

“...เป็นการสาธิตการพัฒนาเบ็ดเสร็จ หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างทุกด้านของชีวิตประชาชนที่จะหาเลี้ยงชีพในท้องที่จะทำอย่างไร และได้เห็นวิทยาการแผนใหม่จะสามารถที่จะหาดูวิธีการ จะทำมาหากินให้มีประสิทธิภาพ...”

“...ด้านหนึ่งก็เป็นจุดประสงค์ของศูนย์ศึกษาก็เป็นสถานที่สำหรับค้นคว้า วิจัยในท้องที่ เพราะว่าแต่ละท้องที่ สภาพฝน ฟ้า อากาศ และประชาชนในท้องที่ต่างๆกัน ก็มีลักษณะแตกต่างกันมากเหมือนกัน...”

“...กรมกองต่างๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประชาชนทุกด้าน ได้สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ปรองดองกัน ประสานกัน ตามธรรมดาแต่ละฝ่ายต้องมีศูนย์ของตน แต่ว่าอาจจะมีงานถือว่าเป็นศูนย์ของตนเอง คนอื่นไม่เกี่ยวข้อง และศูนย์ศึกษาการพัฒนาเป็นศูนย์ที่รวบรวมกำลุงทั้งหมดของเจ้าหน้าที่ทุกกรม กอง ทั้งในด้านเกษตรหรือในด้านสังคม ทั้งในด้านหางานการส่งเสริมการศึกษามาอยู่ด้วยกัน ก็หมายความว่าประชาชนซึ่งจะต้องใช้วิชาการทั้งหลายก็สามารถที่จะมาดู ส่วนเจ้าหน้าที่จะให้ความอนุเคราะห์แก่ประชาชนก็มาอยู่พร้อมกันในที่เดียวกันเหมือนกัน ซึ่งเป็นสองด้าน ก็หมายถึงว่าที่สำคัญปลายทางคือ ประชาชนจะได้รับประโยชน์และต้นทางของผู้เป็นเจ้าหน้าที่จะให้ประโยชน์...”

จากพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรสามารถสรุปแนวทางและวัตถุประสงค์ของศูนย์ศึกษาการพัฒนา ได้ดังนี้คือ

๑. ทำการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิจัย เพื่อแสวงหาแนวทางและวิธีการพัฒนาทางด้านต่างๆให้เหมาะสมสอดคล้อง กับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ จึงเปรียบเสมือน “ตัวแบบ” ของความสำเร็จที่จะเป็นแนวทางและตัวอย่างของผลสำเร็จให้แก่พื้นที่อื่นๆโดยรอบได้ทำการศึกษา

๒. การแลกเปลี่ยนสื่อสารระหว่างนักวิชาการ นักปฏิบัติ และประชาชน การศึกษา ค้น คว้า ทดลอง วิจัยต่างๆ ที่ได้ผลแล้วควรจะนำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่จริงได้ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯควรเป็นแหล่งผสมผสานวิชาการและการปฏิบัติ เป็นแหล่งความรู้ของราษฎร เป็นแหล่งศึกษาทดลองของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางแก้ไขปัญหาระหว่างคน ๓ กลุ่ม คือ นักวิชาการ เจ้าหน้าที่ ซึ่งทำหน้าที่พัฒนาส่งเสริม และราษฎร

๓. การพัฒนาแบบผสมผสาน ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ เป็นตัวอย่างที่ดีของแนวความคิดแบบสหวิทยาการ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในพื้นที่นั้นๆ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯแต่ละแห่งจะเป็นแบบจำลองของพื้นที่และรูปแบบการพัฒนาที่ควรจะเป็น เพื่อเป็นตัวอย่างว่าในพื้นที่และรูปแบบการพัฒนาพื้นที่ ลักษณะหนึ่งๆนั้น จะสามารถใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ได้โดยวิธีใดบ้าง มิใช่การพัฒนาเฉพาะทางใดทางหนึ่งแต่พยายามใช้ความรู้มากสาขามากที่สุด แต่ละสาขาให้เป็นประโยชน์เกื้อหนุนกับการพัฒนาสาขาอื่นๆ และระบบของศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯควรเป็นการผสมผสานไม่เพียงเฉพาะเรื่องความรู้เท่านั้น แต่ต้องมีการผสมผสานการดำเนินงานและการบริหารที่เป็นระบบด้วย

๔. การประสานงานระหว่างส่วนราชการ เป็นแนวทางและวัตถุประสงค์ที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง เนื่องจากกระบวนการพัฒนาและ ระบบราชการไทยมีปัญหานี้โดยพื้นฐาน เป็นสิ่งบั้นทอนประสิทธิภาพและผลสำเร็จของงานลงอย่างน่าเสียดาย แนวทางการดำเนินงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯทุกแห่งจึงเน้นการประสานงาน การประสานแผน และการจัดการระหว่างกรม กอง และส่วนราชการต่างๆ

๕. เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (one stop service) กล่าวคือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ มีการศึกษาทดลอง และสาธิต ให้เห็นถึง ความสำเร็จของการดำเนินงานพร้อมๆกันในทุกด้าน ทั้งด้านการเกษตร ปศุสัตว์ ประมง ตลอดจนการพัฒนาทางด้านสังคม และงานศิลปาชีพ ในลักษณะของ “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต” เมื่อผู้สนใจเข้าไปศึกษาดูงานโดยจะมีให้ดูได้ทุกเรื่องในบริเวณศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯทั้งหมด ผู้สนใจหรือเกษตรกรจะได้รับความรู้รอบด้าน อีกทั้งมีความสะดวก รวดเร็ว ซึ่งนำไปสู่การได้รับประโยชน์สูงสุด

การดำเนินงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงวางรากฐานการพัฒนาโดยมีเป้าหมายที่สำคัญ คือ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของราษฎร ซึ่งจะต้องพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็งก่อน เพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งตนเองและจะต้องสอดคล้องกับการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรสิ่งแวดล้อมอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมความรู้ เทคนิค วิชาการ อันทันสมัย เรียบง่าย ประหยัด ถูกต้องตามหลักวิชาการ คำนึงถึงสภาพแวดล้อมทางด้านภูมิศาสตร์และสังคมวิทยาของแต่ละท้องถิ่นที่มีความแตกต่างกันด้วยเสมอดังพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ด้วยหลักการดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้พระราชทานพระราชดำริให้จัดตั้ง “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ขึ้นตามภูมิภาคต่างๆ จำนวน ๖ ศูนย์ ทำหน้าที่เสมือน “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต” ที่รวบรวมสรรพวิชาในการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิจัย วิธีการแก้ปัญหาด้านเกษตรกรรมที่ครอบคลุมปัญหาเรื่องน้ำ ดิน และป่าไม้

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ แต่ละแห่งล้วนมีลักษณะปัญหา “เฉพาะ” แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค ซึ่งพระองค์มีพระบรมราชวินิจฉัยเกี่ยวกับสภาพปัญหาของแต่ละแห่งไว้อย่างชัดเจน สรุปได้ดังนี้

o ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา ปัญหาเกิดจากการตัดป่าแล้วปลูกพืชไร่ เช่น ข้าวโพด และมันสำปะหลัง ซึ่งทำให้ดินจืดและกลายเป็นทราย ในฤดูแล้งจะมีการชะล้างเนื่องจากลมพัด ในฤดูฝนจะมีการชะล้างเนื่องจากน้ำเซาะ

o ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส เนื่องจากเป็นสภาพป่าพรุเก่า ดินประกอบด้วยพืชที่ทับถมลงมาเป็นเวลานานผสมกับน้ำทะเล มีผลทำให้ดินที่มีแร่กำมะถัน เมื่อสัมผัสกับอากาศก็กลายเป็นออกไซด์ และเมื่อผสมกับน้ำก็กลายเป็นกรดกำมะถัน (Sulfuric Acid)

o ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี เกิดปัญหาดินเค็มเพราะน้ำทะเลขึ้นถึง

o ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร ต้นเหตุจากการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ขาดน้ำในหน้าแล้ง ส่วนฤดูฝนน้ำไหลแรงจึงชะล้างหน้าดิน ดินผิวบางลงและเกิดเกลือในดิน

o ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ ปัญหาจากการทำลายป่า ในฤดูฝนจะมีการชะล้าง เนื่องจากน้ำเซาะจนเหลือแต่หิน กรวด

o ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี สาเหตุจากการตัดไม้และการปลูกพืชไร่ จนดินจืดกลายเป็นทราย เมื่อถูกลมและน้ำชะล้างไปหมด จนเหลือแต่ดินดานไร้ประโยชน์

การบริหารงานแบบบูรณาการ

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้ง ๖ แห่งได้ดำเนินการสนองพระราชดำริ โดยเมื่อมีการจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ ของแต่ละศูนย์ ในระยะเริ่มแรกมีรูปแบบองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารและอนุกรรมการของแต่ละศูนย์ที่แตกต่างกันออกไป ทำให้การดำเนินงานของศูนย์ฯมีลักษณะหลากหลายและขาดเอกภาพ ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯสามารถจะดำเนินงานสนองพระราชดำริได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเอกภาพและสอดคล้องซึ่งกันและกัน คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๓๕ ให้ดำเนินการปรับปรุงระบบบริหารงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ โดยให้ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการและอนุกรรมการที่ถือปฏิบัติแต่เดิมทั้งหมด ให้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการ อนุกรรมการวางแผนและติดตามประเมินผลชุดเดียว ดังนี้

คณะกรรมการบริหารศูนย์ ประกอบด้วย องคมนตรีเป็นประธาน เลขาธิการ กปร. เป็นรองประธาน อธิบดีกรมที่เกี่ยวข้อง ๑๒ คน ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯตั้งอยู่ ๖ คน เป็นกรรมการ รองเลขาธิการ กปร. เป็นกรรมการและเลขานุการ ที่ปรึกษาด้านการประสานงานและผู้แทนสำนักงาน กปร. เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ รวมกรรมการทั้งสิ้น ๒๓ คน มีหน้าที่กำหนดวัตถุประสงค์ นโยบาย และเป้าหมายในการดำเนินงาน รวมทั้งแนวทางการบริหารโครงการ อำนวยการควบคุม กำกับ ดูแล ให้การดำเนินงานเป็นไปตามแนวพระราชดำริที่ได้กำหนดไว้ ติดตามผลและให้คำแนะนำในการปฏิบัติงาน รวมทั้งการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานให้บรรลุผล และกรรมการชุดนี้สามารถแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงาน หรือบุคคลเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติได้ตามความจำเป็น

อนุกรรมการแผนแม่บทและติดตามประเมินผล ประกอบด้วย เลขาธิการ กปร. เป็นประธานคณะอนุกรรมการ รองอธิบดีที่เกี่ยวข้อง ๕ กรม เป็นรองประธานอนุกรรมการ ผู้แทนจากกรมที่เกี่ยวข้อง ๙ กรม เป็นอนุกรรมการ ที่ปรึกษาด้านการประสานงาน สำนักงาน กปร. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ ผู้แทนสำนักงาน กปร. และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้ง ๖ ศูนย์ เป็นอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ คณะอนุกรรมการชุดนี้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการศึกษาและรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำแผนแม่บทของศูนย์ฯ ให้สอดคล้องกับแนวนโยบายของคณะกรรมการบริหาร ดำเนินการติดตามผลการดำเนินงานและพิจารณากลั่นกรองรายละเอียดโครงการและงบประมาณประจำปีตามที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯเสนอขอรับการสนับสนุน

องค์กรดำเนินงานศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ แต่ละศูนย์ ประกอบด้วย ผู้ดำเนินงานตามความเหมาะสม ซึ่งแต่งตั้งโดยประธานกรรมการบริหารโครงการ คืออนุกรรมการดำเนินงาน และคณะทำงานที่เป็นผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งจากส่วนกลางและระดับพื้นที่มากกว่า ๑๐ กรม มาร่วมกันปฏิบัติงานคือ กรมพัฒนาที่ดิน กรมวิชาการเกษตร กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมชลประทาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ฯลฯ ในจำนวนเหล่านี้จะมีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน อำนวยการตามความจำเป็น

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงวางรากฐานการพัฒนาโดยมีเป้าหมายที่สำคัญ คือ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของราษฎร ซึ่งจะต้องพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็งก่อน เพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งตนเองและจะต้องสอดคล้องกับการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรสิ่งแวดล้อมอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมความรู้ เทคนิค วิชาการ อันทันสมัย เรียบง่าย ประหยัด ถูกต้องตามหลักวิชาการ คำนึงถึงสภาพแวดล้อมทางด้านภูมิศาสตร์และสังคมวิทยาของแต่ละท้องถิ่นที่มีความแตกต่างกันด้วยเสมอดังพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ตัวอย่างความสำเร็จ

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริในแต่ละแห่งมีการดำเนินงานและผลสำเร็จ ประกอบด้วย

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา

เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดศาลบวรราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ราษฎร ๗ ราย ได้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดิน หมู่ที่ ๒ ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จำนวน ๒๖๔ ไร่

"...ประวัติมีว่า...ตอนแรกมีที่ดิน ๒๖๔ ไร่ ที่ผู้ใหญ่บ้านให้ "เพื่อสร้างตำหนัก" ในปี ๒๕๒๐ ที่เชิงเขาหินซ้อนใกล้วัดหินซ้อน ตอนแรกก็ต้องค้นคว้าว่าที่ตรงนั้นคือตรงไหน ก็พยายามสืบถาม ก็ปรากฏว่าพบอยู่ในแผนที่ที่เขาหินซ้อนนั้น (แผนที่ ๑:๕๐,๐๐๐ ระวาง ๕๒๓๖ I, II, ๕๓๓๖ III, IV) เมื่อได้ที่อย่างนั้น ได้คิดมา ๒ ปี พยายามหาบนแผนที่ว่า สถานที่นี้เป็นอย่างไร เสร็จแล้วก็สอบถามดูว่าลักษณะของพื้นที่เป็นอย่างไร ก็ได้พบบนแผนที่พอดี อยู่มุมบนของระวางของแผนที่ จึงต้องต่อแผนที่ ๔ ระวาง สำหรับให้ได้ทราบว่า สถานที่ตรงนั้นอยู่ตรงไหน แล้วก็เลยถามผู้ที่ให้ที่นั้นนะ ถ้าหากไม่สร้างพระตำหนัก แต่ว่าสร้างเป็นสถานที่ที่จะศึกษาเกี่ยวกับการเกษตรจะเอาไหม เขาก็บอกยินดี ก็เลยเริ่มทำในที่นั้น..."

จวบจนปัจจุบันเป็นระยะเวลา ๓๔ ปี ที่ดำเนินการพัฒนาด้านต่างๆอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาที่ดิน แหล่งน้ำ และป่าไม้ รวมถึงศึกษาทดลอง วิจัยเพื่อหาแนวทางการพัฒนาที่มีความเหมาะสมสอดคล้องกับภูมิสังคมในพื้นที่ ถูกต้องตามหลักวิชาการ และใช้เทคโนโลยีที่เรียบง่าย ประหยัด เกษตรกรสามารถนำไปดำเนินการเองได้

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ดำเนินงานในลักษณะบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ จำนวน ๑๓ หน่วยงาน โดยกรมพัฒนาที่ดินเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการ ศูนย์ฯทำหน้าที่ศึกษา ทดลอง สาธิต เพื่อค้นหาแนวทางและวิธีการพัฒนาด้าน

การเกษตรที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพภูมิสังคม ซึ่งเป็นต้นแบบเพื่อขยายผลสู่ราษฎรต่อไป ปัจจุบันมีพื้นที่ดำเนินงาน จำนวน ๔๓ หมู่บ้าน ครอบคลุมพื้นที่ ๓ ตำบลของอำเภอพนมสารคาม ประกอบด้วย ตำบลเขาหินซ้อน ตำบลเกาะขนุน และตำบลบ้านซ่อง ภายใต้วิสัยทัศน์ “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ สู่การพัฒนาอาชีพ และสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนตามวิถีพอเพียง”

ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส

เมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๒๕ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระราชดำริให้จัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อให้เป็นสถานที่ศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิจัย แสวงหาแนวทางและวิธีการพัฒนาที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมภูมิสังคมของท้องถิ่น และเป็นแบบจำลองของพื้นที่ที่มีการพัฒนาแบบผสมผสานทุกสาขาในลักษณะสหวิทยา และมีการบริหารที่เป็นระบบ มีการดำเนินงานที่มีเอกภาพ เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จในลักษณะของ “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต”รวมทั้งนำผลสำเร็จของโครงการฯ ขยายผลไปสู่ประชาชน โดยได้กำหนดแผนการศึกษาดำเนินงานแบ่งออกเป็น ๔ แผนงาน ได้แก่ แผนงานศึกษา ทดลองวิจัย ตามแนวพระราชดำริ แผนงานขยายผลการพัฒนา แผนงานฟื้นฟูอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ

แผนงานบริหารจัดการ

พัฒนาพื้นที่พรุและพื้นที่ดินเปรี้ยว ให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตรให้ได้ผลดีที่สุด โดยในระยะเวลาที่ผ่านมา ๓๐ ปี ได้ดำเนินการศึกษา ทดลอง และวิจัยไปแล้ว จำนวนทั้งสิ้น ๒๙๑ เรื่อง สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้ดำเนินการดังนี้

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระราชดำริเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๔ โดยมีพระราชดำริแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ความว่า“ให้พิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสมจัดทำโครงการพัฒนาด้านอาชีพการประมงและการเกษตรในเขตพื้นที่ดินชายฝั่งทะเลจังหวัดจันทบุรี” ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ขึ้นที่ตำบลคลองขุด อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี โดยมีกรมประมงเป็นหน่วยงานหลัก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินงาน เพื่อพัฒนาอาชีพด้านการประมงและการเกษตรในพื้นที่ดินชายฝั่งทะเลของจังหวัดจันทบุรี โดยเป็นศูนย์สาธิต ศึกษา ทดลอง วิจัย พัฒนาด้านการเกษตรและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตามแนวทางการพัฒนาจากยอดเขาสู่ท้องทะเล

ศูนย์ฯ มีหน่วยงานต่างๆ ร่วมดำเนินงานสนองพระราชดำริ ขยายผลในพื้นที่เป้าหมายหมู่บ้านรอบศูนย์ ฯ จำนวน ๓๓ หมู่บ้าน ครอบคลุมพื้นที่ ๕ ตำบลได้แก่ ตำบลคลองขุด ตำบลรำพัน ตำบลโขมง อำเภอท่าใหม่และตำบลสนามไชย ตำบลกระแจะ อำเภอนายายอามการดำเนินงานที่ผ่านมาจะยังผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่โดยรอบศูนย์ฯ ให้ดีขึ้น สภาพสิ่งแวดล้อมมีความอุดมสมบูรณ์ขึ้น และเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้สำหรับประชาชนที่มาเยี่ยมชมเพื่อนำความรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไป

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลห้วยยาง อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร

เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระราชดำริให้พิจารณาโครงการจัดหาน้ำสนับสนุนโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาทดลองงานพัฒนาการเกษตรต่าง ๆ ตามความเหมาะสมสำหรับเป็นตัวอย่างให้ราษฎรนำไปใช้ในพื้นที่ของตนเอง และพระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ ให้เป็นศูนย์ให้บริการในด้านเทคนิคและวิชาการที่ครบวงจร เพื่อให้ราษฎรเข้ามาเรียนรู้และมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน “สร้างน้ำ เพิ่มป่า พัฒนาชีวิตที่พอเพียง”

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีพระราชดำริให้จัดตั้งเมื่อปี ๒๕๒๕ โดยกรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลัก ตั้งอยู่ที่อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแสวงหารูปแบบการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศภาคเหนือ โดยมีเป้าหมายหลักคือ การศึกษาพัฒนาพื้นที่ต้นน้ำ ลำธาร กล่าวคือ การฟื้นฟูป่า ดิน และน้ำ การศึกษา สาธิตและส่งเสริมด้านการประมงตามอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ การเกษตรกรรม การปศุสัตว์ และการเกษตรอุตสาหกรรม ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ ได้จัดทำแผนงาน/กิจกรรมการดำเนินงานบริหารจัดการโครงการ แผนงานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ แผนงานศึกษาวิจัยและทดลอง แผนงานการจัดการความรู้ และแผนงานดำเนินงานขยายผล โดยมุ่งเน้นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ การสร้างฝายต้นน้ำลำธารแบบท้องถิ่น การสร้างจิตสำนึกในการใช้และอยู่ร่วมกับป่าอย่างสมดุลยั่งยืน และการปลูกป่า เป็นต้น ควบคู่กับการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมที่มีความหลากหลายสอดคล้องกับความต้องการของราษฎร โดยยึดหลักการมีส่วนร่วมของราษฎรเป็นสำคัญ ทั้งยังให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดความรู้ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมีเป้าหมายในการพัฒนาทักษะ สร้างความรู้และส่งเสริมอาชีพของราษฎรในพื้นที่เป้าหมายให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ก่อน จากนั้นค่อยก้าวสู่การสร้างรายได้เสริมโดยการรวมกลุ่ม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่ม ชุมชน สามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินงานขยายผลไปยังพื้นที่หมู่บ้านรอบบริเวณศูนย์ฯ จำนวน ๑๘ หมู่บ้านโดยยึดหลักการมีส่วนร่วมของราษฎร ให้ราษฎรเป็นผู้เลือกแนวทางการพัฒนา ทำให้ราษฎรมีความตั้งใจและเกิดความรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้น ส่งผลให้การดำเนินงานขยายผลการพัฒนาของศูนย์ฯ สามารถดำเนินตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี

เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๒๖ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระราชดำริ ให้พัฒนาพื้นที่เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาด้านการเกษตรกรรม โดยเน้นการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูสภาพป่าไม้ให้กลับอุดมสมบูรณ์ดังเดิม สามารถทำการปลูกพืชชนิดต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการปลูกป่า จัดหาแหล่งน้ำสนับสนุนการปลูกป่าและ การเพาะปลูกพืช จัดระเบียบราษฎร ให้ราษฎรในพื้นที่โครงการให้เข้าอยู่อาศัย และ ทำกินอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการและสอดคล้องกับธรรมชาติ ให้ราษฎรเข้าร่วมดูแลรักษา ตลอดจนได้อาศัยผลผลิตจากป่าและเพาะปลูกพืชต่าง ๆ โดยไม่ต้องเข้าไปบุกรุกทำลายป่าไม้อีกต่อไป

การดำเนินงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ มีประชาชนในพื้นที่เป้าหมายได้รับประโยชน์โดยตรง ในการดำเนินงานจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการเป็นต้นแบบการพัฒนา เป็นแหล่งถ่ายทอดเทคโนโลยี และส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมให้กับเกษตรกรและประชาชนที่สนใจ นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่เป็นแหล่งอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่าไม้ สัตว์ป่า รวมทั้งเพาะพันธุ์สัตว์ป่า และเป็นแหล่งเรียนรู้และฝึกอบรมเกษตรกร นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่สนใจทั่วไป ซึ่งผลสำเร็จของศูนย์ ฯ ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน คือ จำนวนเกษตรกรที่สามารถนำความรู้และปัจจัยการผลิตไปใช้ในการดำเนินชีวิต จนสามารถพึ่งตนเองได้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี

ผลสำเร็จของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

การศึกษา ทดลอง วิจัย

ศึกษาการพัฒนาฯ ได้ทำการศึกษา ทดลอง วิจัย ของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทั้ง ๖ แห่ง รวมจำนวนกว่า ๑,๐๐๐ เรื่อง ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ ทั้ง ๖ แห่ง มีผลการศึกษา วิจัย จนถึงปีงบประมาณ ๒๕๕๕ รวม ๑,๒๐๔ โครงการ เป็นโครงการศึกษาวิจัยที่สิ้นสุดแล้ว จำนวน ๑,๐๖๒ โครงการ, โครงการศึกษา วิจัยที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน ๑๔๒ โครงการ และโครงการศึกษาวิจัยที่มีผลสำเร็จ สามารถนำไปเผยแพร่และขยายผลได้จำนวน ๙๓ โครงการ

ทั้งนี้ คาดว่าในปลายปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ ทั้ง ๖ แห่ง จะมีผลการศึกษา วิจัย ที่สิ้นสุดการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจำนวน ๑๙ โครงการ ทำให้ยอดรวมโครงการศึกษาวิจัยที่สิ้นสุดแล้วเพิ่มขึ้นเป็น ๑,๐๘๑ โครงการ, โครงการศึกษา วิจัยที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน ๑๒๓ โครงการ และโครงการศึกษาวิจัยที่มีผลสำเร็จ สามารถนำไปเผยแพร่และขยายผลได้จำนวน ๙๓ โครงการ

การจัดทำบัญชีหลักของศูนย์ศึกษาฯ ไปสู่การฝึกอบรมและการขยายผล

จัดทำบัญชีหลักของศูนย์ศึกษาฯเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลนำไปส่งเสริมและขยายผลให้แก่กลุ่มเป้าหมายต่างๆ ข้อมูลบัญชีหลักฯ ของศูนย์ศึกษา จำนวน ๙๓ เรื่อง จัดทำเป็นรูปเล่ม

โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริการดำเนินงาน มากว่า ๓๐ ปี มีผลสำเร็จการดำเนินงาน มีผลงานศึกษา ทดลอง ทดสอบ คัดเลือกเรื่องดีเด่น (High Light) ศูนย์ละประมาณ ๑๙ เรื่อง อาทิเช่น

ศูนย์ศึกษาฯ ห้วยฮ่องไคร้ – ฝาย / เห็ด / กบนา / ปลาในบ่อซีเมนต์

ศูนย์ศึกษาฯ ภูพาน – ไก่ดำ / หมูดำ / โคดำ / ข้าวหอมมะลิ

ศูนย์ศึกษาฯ เขาหินซ้อน – ข้าวอินทรีย์ /เห็ด /พืชสมุนไพร

ศูนย์ศึกษาฯ อ่าวคุ้งกระเบน – เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ/กุ้งระบบปิด

ศูนย์ศึกษาฯ ห้วยทราย – ทฤษฎีใหม่ /เกษตรผสมผสาน /แฝก

การศึกษา ทดลอง วิจัย ที่สามารถตอบสนองปัญหาของประชาชนในท้องถิ่น

งานศึกษา ทดลอง วิจัย ที่สามารถนำไปต่อยอดขยายผลเพื่อตอบสนองปัญหาของประชาชนในท้องถิ่นได้ทั้งนี้ ศูนย์ศึกษาฯ ควรมีการนำวัสดุ/วัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นมาใช้ในการศึกษาวิจัย หรือศึกษาวิจัยในประเด็นอื่นๆ ที่สอดคล้องกับท้องถิ่น มีตัวอย่างการดำเนินงาน อาทิ

- ศูนย์ศึกษาฯ พิกุลทองฯ ได้ให้ความสำคัญและดำเนินการศึกษาวิจัยด้านสังคมศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างการเกษตร ครัวเรือนสังคม

- ศูนย์ศึกษาฯ ภูพานฯและวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ได้ร่วมกันศึกษาวิจัยด้านสังคมศาสตร์เกี่ยวกับ วัฒนธรรม ความต้องการ ปัญหาอุปสรรคในการดำรงชีวิตของเกษตรกรในท้องถิ่น เกษตรกรที่พำนักอยู่บริเวณรอบศูนย์ศึกษาฯ และการดำรงอยู่และวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ

- ศูนย์ศึกษาฯ ห้วยฮ่องไคร้ฯ มีความสนใจศึกษาเกี่ยวกับหมอกควันที่เกิดจากการเผาป่า และวิธีการเผาป่ามีความจำเป็นกับระบบนิเวศน์มากน้อยแค่ไหน

- ศูนย์ศึกษาฯ เขาหินซ้อนฯมีความคิดว่าหากมีการสร้างโรงเรือนเพาะเห็ดแบบควบคุมอุณหภูมิจะเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยด้านเห็ดที่จะขยายไปสู่ชาวบ้านได้

ด้านขยายผลแนวทางการขยายผลโดยการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย

โครงการความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยขยายผลสู่ประชาชนทั่วประเทศ ประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายซึ่งรวมถึงการดำเนินการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยในการดำเนินงาน“โครงการฝึกอบรมเกษตรกรภายใต้ผลสำเร็จของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ”ขอความร่วมมือจากกระทรวงมหาดไทยในการประสานกับจังหวัดให้คัดเลือกผู้เข้ารับการอบรม โดยขอให้เป็นเกษตรกรผู้ที่สนใจจริง และมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน เช่น การเดินทาง การเข้าร่วมการอบรม การนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

การขยายผลผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต./เทศบาล/อบจ.)การดำเนินการดังกล่าวเป็นการใช้ช่องทาง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อช่วยสื่อสาร ชักจูง และคัดกรองประชาชน/เกษตรกรกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามารับถ่ายทอดความรู้จากศูนย์ศึกษาฯ ได้อย่างกว้างขวางขึ้น โดยศูนย์ศึกษาฯ ที่มีความพร้อมขอให้ทยอยดำเนินการ

การขยายผลไปยังนักเรียน นักศึกษา ในจังหวัดใกล้เคียง ศูนย์ศึกษาฯ ได้รายงานการผลดำเนินงานของศูนย์ศึกษาฯ ผ่านภาคีเครือข่าย โรงเรียน ตชด. และโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ ทั่วประเทศ

การขยายผลไปยังกลุ่มผู้ใช้น้ำในเครือข่ายโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ