๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

โครงการ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

ตำบล หนองบัว อำเภอ พัฒนานิคม จังหวัด ลพบุรี


ที่มาของการต่อยอดโครงการ :

เขื่อนป่าสักชลสิทธิื์์

ที่ตั้ง : บ้านหนองบัว ต.หนองบัว อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี และบ้านคำพราน ต.คำพราน อ.วังม่วง จ.สระบุรี

วัตถุประสงค์ :

- เป็นแหล่งน้ำสำหรับอุปโภค – บริโภค ในเขตจังหวัดลพบุรี – สระบุรี ตลอดจน กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เป็นแหล่งน้ำสำหรับพื้นที่ชลประทานเปิดใหม่ รวมทั้งแหล่งน้ำเสริมสำหรับพื้นที่ชลประทานเดิมในทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง

- ช่วยป้องกันอุทกภัยในเขตจังหวัดลพบุรี – สระบุรี และพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

- เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา และเป็นแหล่งประมงน้ำจืดขนาดใหญ่

- ช่วยการคมนาคมทางน้ำในแม่น้ำป่าสักตอนล่าง และแก้ไขปัญหาน้ำเสีย

   

สภาพทั่วไป :

ลุ่มน้ำป่าสักตั้งอยู่ในเขตภาคกลางของประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ และมีพื้นที่บางส่วนตอนบนของลุ่มน้ำอยู่ในเขตภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พื้นที่ส่วนใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ ๔ จังหวัด คือ จังหวัดเพชรบูรณ์ ลพบุรี สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา ลักษณะลุ่มน้ำวางตัวในแนวเหนือ-ใต้ พื้นที่ลุ่มน้ำทั้งสิ้น ๑๖,๒๙๒ ตารางกิโลเมตร

บริเวณตอนบนของลุ่มน้ำมีเทือกเขาเพชรบูรณ์ล้อมรอบ พื้นที่โดยทั่ว ๆ ไป มีลักษณะเป็นเนินเขาและมีที่ราบเพียงเล็กน้อย ส่วนตอนกลางในเขตจังหวัดลพบุรีและสระบุรีเป็นที่ราบสลับกับเนินเขา ตอนล่างของลุ่มน้ำบริเวณจุดบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นที่ราบลุ่ม ลักษณะโดยรวมทั้งลุ่มน้ำจะถูกล้อมรอบด้วยภูเขาทั้ง ๒ ด้าน และมีแม่น้ำป่าสักไหลอยู่ตรงกลางจากทิศเหนือลงทิศใต้ โดยมีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ในเขตอำเภอด่านซ้าย ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดเลย จากนั้นไหลผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์ ลพบุรี และสระบุรี จนมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยา

ลำน้ำสาขาของลุ่มน้ำป่าสัก จะมีลักษณะเป็นลำน้ำสายสั้น ๆ แยกมาจากทางตะวันตกและตะวันออก ลำน้ำสาขาทางต้นน้ำ ได้แก่

ห้วยน้ำพุง มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ทางตอนใต้สุดจังหวัดเลย ไหลขนานมากับแม่น้ำป่าสักและมาบรรจบกันที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์

ห้วยขอนแก่น มีต้นกำเนิดที่เทือกเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอหล่มสัก

ลำกง มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือในเขตอำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์

ลำน้ำสาขาทางตอนล่างของลุ่มน้ำ ได้แก่

ห้วยเกาะแก้ว มีต้นกำเนิดอยู่ที่เทือกเขาเตี้ย ๆ บริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดเพชรบูรณ์กับจังหวัดลพบุรี ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำป่าสักทางตอนใต้ของอำเภอศรีเทพ

ลำสนรี เป็นลำน้ำสาขาที่ใหญ่ที่สุดของแม่น้ำป่าสัก มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดเพชรบูรณ์กับจังหวัดชัยภูมิ มีลำน้ำสาขาคือ ลำพยากลาง ลำสนรีไหลมาบรรจบกับแม่น้ำป่าสักที่อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี

ห้วยมวกเหล็ก มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดลพบุรีกับจังหวัดนครราชสีมา ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำป่าสักที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี

เนื่องจากลักษณะลุ่มน้ำแห่งนี้มีความลาดชันสูง จึงทำให้ในฤดูฝน กระแสน้ำจะไหลจากด้านบนลงมาอย่างรวดเร็ว บ่าล้นตลิ่ง ท่วมและทำความเสียหายให้กับเรือกสวนไร่นา ตลอดจนบ้านเรือนและทรัพย์สินของราษฎร ปัญหาอุทกภัยในเขตลุ่มน้ำป่าสักส่งผลกระทบถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ในทางกลับกันในฤดูแล้งมักประสบปัญหาขาดแคลนน้ำใช้เพื่อการเกษตร การอุปโภคบริโภค ซึ่งแม้จะได้รับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยามาช่วยเสริมแต่ก็ยังไม่เพียงพอ การพัฒนาแหล่งน้ำลุ่มน้ำป่าสัก ได้เริ่มมาตั้งแต่การก่อสร้างเขื่อนพระราม ๖ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๘ แต่เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในระดับหนึ่ง ในขณะที่ประเทศเวลานั้น ยังมีการพัฒนาและการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมไม่มากนัก แต่เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น มีการขยายพื้นที่เกษตรกรรมและการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง เป็นผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำ แม้รัฐบาลในยุคสมัยต่อมา จะได้ศึกษาวางแผนที่จะพัฒนาแหล่งน้ำด้วยการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กกระจายโดยทั่วไปในลุ่มน้ำป่าสักอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องบนลำน้ำสาขาต่าง ๆ ของลุ่มน้ำป่าสักที่มีความยาวไม่มากและมีพื้นที่เก็บน้ำน้อย โดยได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๗ ซึ่งหากสามารถก่อสร้างได้ครบตามแผนที่กำหนดไว้ จะสามารถเก็บกักน้ำได้รวมกันกว่า ๓๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร

ความแห้งแล้งเพราะขาดแคลนน้ำ และการเกิดอุทกภัยที่เกิดขึ้นเกือบจะเป็นประจำทุกปี ในตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมาสร้างความเดือดร้อนให้กับราษฎรและทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ กระทบกระเทือนฐานะความมั่นคงทางเศรษฐกิจในพื้นที่ส่วนนี้ที่ประกอบด้วยโรงงานอุตสาหกรรม พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงทราบด้วยพระเนตรพระกรรณด้วยทรงห่วงใยยิ่ง ได้พระราชทานพระราชดำริ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๒ ให้กรมชลประทานศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสัก เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ และบรรเทาอุทกภัยในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ต่อจากนั้นได้มีพระราชดำรัสอีกรวม ๒ ครั้ง ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๖ และวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๗ สรุปความว่า ปัญหาการขาดแคลนน้ำ และปัญหาอุทกภัย จะได้รับการบรรเทาให้น้อยลง เมื่อได้ก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสัก

กรมชลประทานได้สนองพระราชดำริโดยว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา ศึกษาความเหมาะสมของโครงการ ฯ เห็นสมควรให้สร้างเขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสัก ที่บ้านหนองบัว ตำบลหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี และที่บ้านคำพราน อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี และผลการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (สผ.) เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้เปิดโครงการก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสัก เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๗

เขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสักได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๗ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๒ รวมระยะเวลาทั้งสิ้น ๕ ปี มีกรมชลประทานเป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการก่อสร้าง โดยได้รับการสนับสนุนทั้งกำลังพล และเครื่องจักรเครื่องมือจากกรมทหารช่าง กองทัพบก เป็นผลทำให้การก่อสร้างเขื่อนแห่งนี้ดำเนินการได้ตามแผนและบรรลุผลเป้าหมายที่กำหนด เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๑ ซึ่งในโอกาสนั้น สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานทรงประกอบพิธี เริ่มการเก็บกักน้ำเป็นปฐมฤกษ์ และในวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามเขื่อนแห่งนี้ว่า " เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ " อันหมายถึง " เขื่อนแม่น้ำป่าสักที่เก็บกักน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ "

โครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นโครงการชลประทานขนาดใหญ่ประเภทอ่างเก็บน้ำที่จะช่วยแก้ปัญหาภัยแล้ง และบรรเทาอุทกภัย ตลอดจนเป็นแหล่งน้ำสำหรับการประมง และการอุตสาหกรรมในเขตจังหวัดลพบุรี สระบุรี และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย

ระยะเวลาดำเนินการ ๑๔ ปี (ปี พ.ศ.๒๕๓๘ – ๒๕๕๑) รวมระบบส่งน้ำ

ลักษณะโครงการ :

เขื่อนหัวงานและอาคารประกอบ เป็นชนิดเขื่อนดินแบบ (ZONED TYPE) ยาว ๔,๘๖๐ ม., สูง ๓๖.๕๐ ม. ความจุเก็บกักปกติ ๗๘๕ ล้าน ลบ.ม. อาคารระบายน้ำล้น (SERVICE SPILLWAY) สามารถระบายน้ำได้สูงสุด ๓,๙๐๐ลบ.ม./วินาที ท่อระบายลงลำน้ำเดิม (RIVER OUTLET) เป็นท่อเหล็กเหนียวหุ้มด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กเส้นผ่าศูนย์กลาง๓.๐๐ ม. สามารถระบายน้ำได้สูงสุด ๘๐.๐ ลบ.ม./วินาที อาคารท่อระบายน้ำฉุกเฉิน (AUXILIARY SPILLWAY) เป็นท่อเหล็กเหนียวหุ้มด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓.๐๐ ม.สามารถระบายน้ำได้สูงสุด ๖๕.๐ ลบ.ม./วินาที งานก่อสร้างส่วนประกอบอื่น ๆ ได้แก่ ก่อสร้างคันกั้นน้ำ ๒ แห่ง ได้แก่ คันกั้นน้ำโคกสลุง ความยาว ๔.๑๒๐ กม. และคันกั้นน้ำท่าหลวงความยาว ๑.๗๑๖ กม. รวมความยาวทั้งสิ้น ๕.๘๓๖ กม. งานก่อสร้างถนนรอบอ่างเก็บน้ำ ความยาว ๑๔๐ กม. และปรับปรุงแม่น้ำป่าสัก ความยาว ๘.๕ กม.

ระบบส่งน้ำและระบบระบายน้ำ พื้นที่ชลประทาน ๑๔๔,๕๐๐ ไร่ ประกอบด้วย

- โครงการสูบน้ำพัฒนานิคมและพัฒนานิคม-แก่งคอย :

: ก่อสร้างสถานีสูบน้ำ ๑ แห่ง พร้อมการติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ๖ เครื่อง อัตราการสูบน้ำรวม ๑๐.๔๕ ลบ.ม./วินาที ท่อส่งน้ำชนิดรับแรงดันสูง ๒ ท่อ dia. ๑.๘๐ เมตร โดยท่อที่ ๑ ความยาว ๖ กิโลเมตร ส่งน้ำเข้าบ่อพักน้ำ ๑ ให้กับโครงการพัฒนานิคม และท่อที่ ๒ ความยาว ๘ กิโลเมตร ส่งน้ำเข้าบ่อพักน้ำ ๒ ให้กับโครงการพัฒนานิคม-แก่งคอย

: โครงการสูบน้ำพัฒนานิคม คลองส่งน้ำดาดคอนกรีต ๓๔ สาย ความยาวรวม ๙๗.๖๐๐ กิโลเมตร พื้นที่ชลประทาน๒๙,๓๐๐ ไร่ และโครงการสูบน้ำพัฒนานิคม-แก่งคอย คลองส่งน้ำดาดคอนกรีต ๓๒ สาย ความยาวรวม ๙๓.๗๖๖ กิโลเมตร พื้นที่ชลประทาน ๒๘,๕๐๐ ไร่

- โครงการสูบน้ำแก่งคอย –บ้านหมอ : สถานีสูบน้ำ ๑ แห่ง พร้อมเครื่องสูบน้ำ ๗ เครื่อง ขนาด ๒.๔๔ ลบ.ม./วินาที อัตราการสูบน้ำรวม ๑๗.๐๘ ลบ.ม./วินาที คลองส่งน้ำดาดคอนกรีต ๓๑ สายความยาว ๑๓๙.๘๘๐ กิโลเมตร พื้นที่ชลประทาน๘๖,๗๐๐ ไร่

การจัดหาน้ำเพื่อการเกษตรจังหวัดลพบุรี ก่อสร้างสถานีสูบน้ำและระบบส่งน้ำด้วยท่อส่งน้ำ ความยาวรวมประมาณ ๑๐๖.๗๕ กม.พื้นที่ชลประทาน ๓๐,๐๐๐ ไร่

ประโยชน์ของโครงการ :

๑.เป็นแหล่งสำหรับอุปโภค-บริโภคของชุมชนต่างๆ ในเขตจังหวัดลพบุรี (อำเภอลำนารายณ์ และอำเภอพัฒนานิคม) และจังหวัดสระบุรี (อำเภอวังม่วง และอำเภอแก่งคอย ) และชุมชนขนาดย่อมใกล้เคียง

๒.เป็นแหล่งน้ำสำหรับการเกษตร สำหรับพื้นที่ชลประทานที่จะเกิดขึ้นใหม่ ในเขตจังหวัดลพบุรี และสระบุรี ๑๗๔,๕๐๐ ไร่ ได้แก่ แก่งคอย – บ้านหมอ ๘๖,๗๐๐ ไร่ พัฒนานิคม ๒๙,๓๐๐ ไร่ พัฒนานิคม-แก่งคอย ๒๘,๕๐๐ ไร่ จัดหาน้ำเพื่อการเกษตร จังหวัดลพบุรี ๓๐,๐๐๐ ไร่

๓.เป็นแหล่งน้ำเสริมสำหรับพื้นที่ชลประทานเดิมในทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง เนื้อที่ประมาณ

๒,๒๐๐,๐๐๐ ไร่ (ลดการใช้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยนำน้ำจากแม่น้ำป่าสักไปใช้ในแถบจังหวัดลพบุรีและสระบุรีโดยตรง)

๔.ช่วยป้องกันอุทกภัยพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำป่าสัก ในเขตจังหวัดลพบุรีและสระบุรี และยังมีผลช่วยบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

๕.เป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมในเขตจังหวัดลพบุรีและสระบุรี

๖.อ่างเก็บน้ำที่เกิดขึ้นจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและเป็นแหล่งประมงน้ำจืดขนาดใหญ่

๗.ช่วยการคมนาคมทางน้ำในแม่น้ำป่าสักตอนล่าง

๘.ช่วยแก้ปัญหาน้ำเสียในลุ่มแม่น้ำป่าสักตอนล่าง

๙.เป็นแหล่งน้ำเสริมเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค – บริโภค ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

๑๐.เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญ

ผลการดำเนินงาน :

วันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๗ กรมชลประทานได้เริ่มงานก่อสร้างโครงการ โดยก่อสร้างเขื่อนหัวงาน และ อาคารประกอบแล้วเสร็จ และ เริ่มเก็บน้ำกักน้ำเมื่อ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๑ และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงเสด็จไปทำพิธีเปิดเขื่อน ฯ ในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๒  

      

แผนที่แสดงพื้นที่ชลประทานจำนวน ๔ โครงการเพื่อใช้ประโยชน์ในการสนับสนุน การขาดแคลนน้ำให้กับเกษตรกร พื้นที่รวม ๑๗๔,๕๐๐ ไร่

นอกจากนั้นเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ได้นำระบบโทรมาตร มาใช้ในการคำนวณ พยากรณ์และคาดการณ์สถานการณ์น้ำในบริเวณลุ่มน้ำป่าสัก ตลอดจนการเก็บข้อมูล สถิติน้ำฝน น้ำท่า อย่างต่อเนื่องเป็นระบบ ทำให้สามารถควบคุมปริมาณน้ำในแม่น้ำป่าสัก ส่งผลให้ลดผลกระทบที่มีต่อปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาช่วยป้องกันและบรรเทาสภาวะอุทกภัยได้ โดยเฉพาะในปี ๒๕๕๐ ในช่วงวันที่ ๒๒-๓๐ ตุลาคม ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีปริมาณสูงมาก จึงลดการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์โดยยอมให้มีการเก็บน้ำสูงกว่า ๙๖๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่อำเภอบางไทรอยู่ในระดับที่ไม่เกินระดับตลิ่ง

ทั้งนี้เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ได้มีการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำ เพื่อให้เกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วมในด้านการบริหารจัดการน้ำ การดูแลบำรุงรักษา และการจ่ายค่ากระแสไฟฟ้าในการสูบน้ำ ปัจจุบันมีทั้งสิ้น ๘๑ กลุ่ม แบ่งเป็น

โครงการสูบน้ำพัฒนานิคมและโครงการสูบน้ำพัฒนานิคม – แก่งคอย มีกลุ่มพื้นฐาน ๕๖ กลุ่ม กลุ่มบริหาร ๕ กลุ่ม รวม ๖๑ กลุ่ม

โครงการสูบน้ำ แก่งคอย-บ้านหมอ มีกลุ่มพื้นฐาน ๑๖ กลุ่ม กลุ่มบริหาร ๔ กลุ่ม รวม ๒๐ กลุ่ม

โครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในด้านการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย เป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคน้ำเพื่อการเกษตร โดยสามารถส่งน้ำช่วยพื้นที่การเกษตรฤดูฝน ๒,๒๐๐,๐๐ ไร่ พร้อมทั้งสามารถส่งน้ำพื้นที่ชลประทานเปิดใหม่อีก ๑๗๔,๕๐๐ ไร่ เพิ่มผลผลิตข้าวนาปรังเฉลี่ยได้ถึง ๘๐- ๙๐ ถัง/ไร่ และช่วยการขาดแลนน้ำ รวมถึงการส่งน้ำเพื่อการอุตสาหกรรม ตลอดจนเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา และเป็นแหล่งประมงน้ำจืดขนาดใหญ่ เป็นแหล่งพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งสอดคล้องกับรายงานการประเมินผลเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่สำนักงาน กปร. ได้มอบหมายให้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ดำเนินการเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๔๘ พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทางระบบนิเวศของน้ำ กล่าวคือหลังจากการสร้างเขื่อนก่อให้เกิดชนิดของแพลงตอนเพิ่มขึ้น จากเดิม ๑๕ ชนิด เป็น ๕๑ ชนิด พบชนิดพันธุ์ปลามากขึ้นกว่าเดิมถึง ๑๐๐ ชนิด ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางเศรษฐกิจและสังคม ประชาชนมีรายได้สุทธิจากการประกอบอาชีพในภาคเกษตร และนอกภาคเกษตร เช่น การทำประมง การแปรรูป การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก ๒๒,๔๖๕ บาท/ครัวเรือน/ปี เป็น ๔๔,๕๐๔ บาท/ครัวเรือน/ปี

ประเภทโครงการ : โครงการพัฒนาด้านแหล่งน้ำ