โดย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานวโรกาศให้ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท
โอกาสนี้ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กราบบังคมทูลเชิญองค์รัชทายาท เสด็จฯ ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ สืบราชสันตติวงศ์ ความว่า
ขอพระราชทานกราบบังคมทูลทรงทราบ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้า นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ขอพระราชทานพระราชวโรกาส กราบบังคมทูลในนามของปวงชนชาวไทยว่า โดยที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จสวรรคต เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เวลา ๑๕ นาฬิกา ๕๒ นาที โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาตรา ๒ วรรค ๒ ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๓ วรรค ๑ ได้บัญญัติเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ ว่า ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลง และในกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งทายาทไว้ ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภา เรียกประชุมรัฐสภา เพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป และให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ
บัดนี้ คณะรัฐมนตรีได้แจ้งให้ประธานสภานิติบัญญัติทราบ ซึ่งทำหน้าที่ประธานรัฐสภาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทราบ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงแต่งตั้ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นพระรัชทายาทตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าได้ดำเนินการเรียกประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อรับทราบ ในคราวประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๗๖/๒๕๕๙ เป็นพิเเศษ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้รับทราบการแต่งตั้งพระรัชทายาทแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ในนามของปวงชนชาวไทย จึงขอพระราชทานอัญเชิญใต้ฝ่าละอองพระบาท ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบราชสันตติวงศ์สืบไป เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาตรา ๒ วรรค ๒ ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๓ วรรค ๑ ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ควรมิควร แล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ในการนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชดำรัสตอบรับการขึ้นทรงราชย์ ความว่า
ตามที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภา ได้กล่าวในนามของปวงชนชาวไทยเชิญข้าพเจ้าขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ถ้าเป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎมณเฑียรบาลว่า ด้วยการสืบสันตติวงศ์กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนั้น ข้าพเจ้าขอตอบรับเพื่อสนองพระราชปณิธาน และเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยทั้งปวง
จากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ เสด็จฯ ไปประทับราบ ณ พระสุจหนี่ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบามสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงกราบถวายบังคม ทรงเปิดกรวยกระทงดอกไม้ ธูปเทียนแพ ทรงกราบราบ
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล จากนั้นทรงมีพระราชปฏิสันถารกับคณะผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
บัดนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงตอบรับคำกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จฯ ขึ้นครองราชย์สืบราชสันตติวงศ์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑๐ แล้ว
ขณะเดียวกัน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า รัฐบาลขอประกาศให้ประชาชนชาวไทยทั้งที่อยู่ในราชอาณาจักร และในต่างประเทศทั่วโลกทราบทั่วกันว่า บัดนี้ประเทศไทยมีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่แล้ว ตามคำกราบบังคมทูลอัญเชิญขึ้นทรงราชย์ของประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต โดยมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายกรัฐมนตรี และประธานศาลฎีกา ร่วมเป็นสักขีในพิธีประวัติศาสตร์นี้ และทรงพระกรุณารับคำกราบบังคมทูลอัญเชิญ ดังที่ต่อมาได้มีประกาศสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อแจ้งประชาชนแล้ว การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ และโบราณราชประเพณีทุกประการ ทั้งสนองพระราชดำริสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมารที่พระราชทานไว้ตั้งแต่แรกว่า ในระหว่างที่พระองค์เองและประชาชนกำลังทุกข์โศกอย่างใหญ่หลวงจากการเสด็จสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ยังไม่ควรดำเนินการเรื่องการสืบราชสมบัติทันทีในขณะนั้น หากแต่ควรรอจนการบำเพ็ญพระราชกุศล และการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าไปถวายบังคมพระบรมศพผ่านพ้นไปสักระยะหนึ่ง ซึ่งบัดนี้ถึงเวลาการบำเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวารคือครบ 50 วัน และประชาชนได้มีโอกาสเข้าถวายบังคมพระบรมศพแล้วนับล้านคน จึงขอพระราชทานพระราชานุญาตดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
อนึ่ง เพื่อให้เป็นไปตามโบราณราชประเพณี โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ทั้งยังสอดคล้องกับคตินิยมในนานาประเทศที่ว่า ราชอาณาจักรย่อมไม่ว่างเว้นขาดตอนจากการมีพระมหากษัตริย์ ดังนั้นการเริ่มราชการใหม่จึงมีผลต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ณ บัดนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณสยามมงกุฎราชกุมาร ซึ่งทรงสถิตอยู่ในพระราชสถานะ องค์พระรัชทายาทมาตั้งแต่ พุทธศักราช ๒๕๑๕ นับเป็นเวลาถึง ๔๔ ปี จึงทรงเป็น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๑๐ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญทุกประการ ส่วนการจะดำเนินการต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามโบราณราชขัตติยประเพณีที่เรียกว่า "พระราชพิธีพระบรมมาราชาภิเษก" นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับพระราชวินิจฉัย ซึ่งมีพระราชดำริแล้วว่า ควรดำเนินการเมื่อเสร็จสิ้นการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศแล้ว
พี่น้องประชาชนทั้งหลาย ด้วยศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือแนวทางที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ผู้ทรงเป็นสมเด็จพระบรมชนกนาถได้ทรงวางไว้แล้วตลอดเวลา ๗๐ ปี จะเป็นรากฐานอันแข็งแกร่ง เมื่อประกอบเข้ากับความศรัทธาเชื่อมั่นและสัตยาธิษฐาน ที่มหาชนชาวสยามทุกรูปทุกนามพร้อมใจกันเปล่งวาจาตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ และมากล่าวย้ำพร้อมกันอย่างเป็นทางการอีกครั้ง เมื่อเช้าวันที่ ๒๒ พฤศจิกายนนี้ ว่าจะทำดีเพื่อพ่อ จะจดจำคำของพ่อ จะขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป จะสืบสานพระบรมราชปณิธาน คิดดี พูดดี ทำดี ซื่อสัตย์สุจริต รู้รักสามัคคี และจะอยู่อย่างพอเพียง รัฐบาลเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นดุจปราการอันมั่งคง บนพื้นฐานอันแข็งแกร่ง ประการสำคัญคือด้วยพระบรมเดชานุภาพ ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ ทุกอย่างจะดำเนินไปได้ด้วยดีท่ามกลางความเพียรอันบริสุทธิ์ของเราทั้งหลาย
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ ทรงเป็นพระรัชทายาทที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาและมีโอกาสโดยเสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงงานในที่ต่าง ๆ มากว่า ๔๔ ปี บัดนี้ทรงเป็นพระประมุข เป็นศูนย์รวมใจไทยทั้งชาติ สืบสนองพระองค์สมเด็จพระบรมชนกนาถ ทรงเจริญรอยพระยุคลบาทสมเด็จพระบรมราชบุพการีทั้งสองพระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ได้ทรงกระทำบำเพ็ญมาแล้วอย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์ ดังนั้น แม้เราต่างก็รู้ว่าการพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักและเคารพย่อมเป็นทุกข์ แม้การสูญเสีย ความวิปโยค จะเป็นวิกฤตที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เราทั้งหลายควรใช้วิกฤตนี้ให้เป็นโอกาส แปลงความทุกข์โศกให้เป็นพลังของแผ่นดิน พลังที่แม้จะไม่มีพระผู้เป็นพลังของแผ่นดินทางพระรูปกายอยู่คุ้มเกล้าคุ้มกระหม่อม แต่พลังของแผ่นดินยังจะมีอยู่ต่อไปด้วยพลังแห่งความศรัทธาเชื่อมั่น ในพระบรมราชปณิธานและศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ พระบรมราชปิโยรสเป็นผู้นำแทนพระองค์
พี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งหลาย ขอให้เราทุกคนร่วมกันตั้งจิตอธิษฐาน ขอพระบรมเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า มีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระปิยมหากษัตริย์ นักพัฒนา เป็นอาทิ ได้โปรดอภิบาลรักษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ให้ทรงพระเจริญ สถิตเป็นมิ่งขวัญปกเกล้าปกกระหม่อม อาณาประชาราษฎรชาวไทยและประเทศไทย ให้สามารถพัฒนา จนประสบความสำเร็จ บังเกิดความเจริญรุ่งเรือง มีสันติสุขและความสามัคคีปรองดอง สมดังพระราชปณิธาน ปรารถนา ภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตราบกาลนานเทอญ
ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า โดยที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีประกาศ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ว่า พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้แล้ว ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ จึงได้มีการประชุมเพื่อรับทราบ และได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระรัชทายาท โดยประกาศให้ทราบทั่วกันว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฏราชกุมาร ได้ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์แล้วนั้น
ทรงพระราชดำริว่าในระหว่างที่ประชาชนยังมิได้ถวายพระปรมาภิไธย เนื่องในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันจะพึงมีต่อไปตามพระราชประเพณีเป็นการสมควรที่จะเฉลิมพระปรมาภิไธยเป็นการชั่วคราว เพื่อความสะดวกในการเรียกขานพระนาม จึงมีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เฉลิมพระปารมาภิไธยว่า
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร”
ประกาศ ณ วันที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เป็นปีที่ ๑ ในรัชกาลปัจจุบัน
ที่มา: http://pptv36.news/cEU